วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

                                                   ปุ่มคีย์ลัดบนคีย์บอร์ด


          
   
           1. เลื่อนลูกศรไปมา >> Ctrl + ลูกศรซ้าย + ลูกศรขวา

   เลื่อนลูกศรไปมาได้ง่าย ๆ แถมเลื่อนไปเป็นคำ ๆ อีกด้วย เหมาะสำหรับการแก้คำทั้งลบทั้งเพิ่มในระหว่างข้อความได้เป็นอย่างดี
    

   
   
             2. คลิกคลุมคำในข้อความ >> Ctrl + Shift + ลูกศรซ้าย หรือ ลูกศรขวา

   ไม่ต้องใช้เม้าส์คลิกคลุมข้อความให้ปวดนิ้วแต่อย่างใด ปุ่มลัดนี้จะทำหน้าที่ในส่วนนั้น โดยจะเลือกคลุมเป็นคำ ๆ ไปได้อย่างง่าย ๆ
    

   
   
                3. ลบคำผิด >> Ctrl + Backspace

   เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยพิมพ์ข้อความต่าง ๆ แบบผิด ๆ ถูก ๆ ตกคำนั้น ขาดคำนี้ กันอยู่บ้าง ปุ่มลัดนี้ จะช่วยลบข้อความนั้น ๆ ของคุณ เพื่อให้คุณได้พิมพ์ใหม่ให้ถูกต้องต่อไป
    
    
   

        4. คลุมข้อความหรือประโยค >> Shift + Home หรือ End   ไม่ต้องใช้เม้าส์ลากคลุมข้อความหรือประโยคที่ต้องการให้ยุ่งยากอีกต่อไป ปุ่มลัดนี้จะทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนให้เอง เพียงเท่านี้ก็หมดปัญหาอย่างเช่น การคลุมข้อความมาไม่ครบถ้วน    
    
   
   
             5. ย่อหน้าเบราว์เซอร์ทั้งหมด >> Menu + M   ปุ่มนี้มีไว้ใช้สำหรับย่อหน้าเบราว์เซอร์ให้มีขนาดเล็กที่สุด เรียกได้ว่าหากคุณแอบเล่นเฟซบุ๊กหรือเกมในที่ทำงานแล้วล่ะก็ สองปุ่มนี้ล่ะ ช่วยหลบจากหัวหน้าของคุณได้แน่นอน
    
   
   
             6. เรียกเปิดเบราว์เซอร์ที่ปิดไว้ >> Menu + Tab

   ในการใช้คอมพ์แต่ละครั้งแน่นอนว่าจะต้องมีการเปิดเบราว์เซอร์ต่าง ๆ ไว้มากมาย ดังนั้นปุ่มลัดนี้จึงเหมาะมาก ๆ สำหรับการเรียกเปิดเบราว์เซอร์ต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาใช้เม้าส์คลิกแต่อย่างใด


    
   

             7. ล็อกเครื่อง >> Menu + L   เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ เช่น ออกไปพักกลางวัน หรือไม่อยู่หน้าคอมพ์เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ล็อกเครื่องไว้ เพื่อความปลอดภัยป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมาใช้คอมพิวเตอร์ของคุณได้   

    
   

            8. เปิดหน้า Task Manager >> Ctrl + Shift + Esc   แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่คุณเปิดมีปัญหาหรือไม่ อยากจะเช็คหาสาเหตุใช่หรือเปล่า ทั้งสามปุ่มนี้จะลัดเข้าสู่หน้า Task Manager เพื่อดูรายละเอียดข้อมูลของหน้าแอพฯ ที่เปิดได้อย่างฉับไว   

    
   
   
          9. บันทึกหรือจับภาพหน้าเว็บ >> Alt + Print Screen

   ในการเข้าดูเว็บไซต์ต่าง ๆ คงมีหลายครั้งที่อยากจะ Save หรือ Capture หน้าเว็บนั้น ๆ เก็บเอาไว้ได้ ดังนั้นแล้วทั้งสองปุ่มนี้ ก็จะช่วยตอบโจทย์ส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี   
   


    
   
     10. เปลี่ยนชื่อไฟล์ >> ไฟล์ที่จะเปลี่ยนชื่อ +F2                                                                           
        ถ้าคลิกขวาที่เม้าส์เพื่อต้องการเปลี่ยนชื่อไฟล์ แต่คลิกขวาเจ้ากรรมดันไม่ตอบสนองล่ะก็ ให้ลองใช้วิธีที่ง่ายแบบนี้ดู สามารถใช้แทนกันได้ไม่มีปัญหา
   
    
   

   11. ขยายภาพเข้า - ออก >> Ctrl + Mouse's Scroll   หากคุณเปิดภาพขึ้นมาสักภาพหนึ่งแล้วต้องการจะขยายดูภาพนั้นอย่างละเอียดแล้ว ล่ะก็ ปุ่มลัดนี้จะช่วยให้ขยายภาพเข้า - ออก ได้ดีมากขึ้น เหมาะกับการใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ เช่น "Word Processors" หรือ "Photoshop" มาก ๆ
   
    
   
   
             12. ดูภาพในขนาดปกติ >> Ctrl + 0

   สองปุ่มนี้ใช้สำหรับการย้อนกลับไปดูภาพในขนาดปกติ หลังจากที่คุณขยายภาพเข้า - ออกไปแล้ว ถือเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายดายมาก ๆ

    
   
          13. เปิดแท็บในเบราว์เซอร์ใหม่ >> Ctrl + T    ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปุ่มลัดที่น้อยคนนักจะจำได้ ปุ่มลัดนี้จะช่วยเปิดแท็บใหม่ได้อย่างง่าย ๆ โดยไม่ต้องเอื้อมมือไปคลิกเม้าส์ให้เสียเวลาแต่อย่างใด
    
   
   
          14. เรียกหน้าแท็บที่ปิด >> Ctrl + Shift + T

   ถ้าคุณบังเอิญเผลอไปคลิกปุ่มปิดแท็บ ที่ใช้งานโดยที่ไม่ได้ตั้งใจแล้วล่ะก็ ไม่ต้องตกใจแต่อย่างใด คุณสามารถเรียกหน้าแท็บนั้นกลับมาได้ด้วยสามปุ่มนี้


    
   
   
          15. ไฮไลท์ลิงก์ที่ใช้ >> Ctrl + L

   ถ้าคุณต้องการไฮไลท์ลิงก์ที่เปิดอยู่ล่าสุด ให้ใช้ทั้งสองปุ่มนี้ จะทำให้คลุมลิงก์เพื่อก็อปปี้นำไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย
              ตัวเสริมบน   keyboard 


     - Ctrl + Alt + Del ใช้สำหรับการสั่งบูทเครื่องใหม่ กรณีที่ไม่สามารถสั่งงานต่าง ๆ ได้แล้ว
     - Esc ใช้สำหรับการยกเลิกการทำงาน หรือออกจากการตั้งค่าต่าง ๆ หรือแทนคำว่า Cancel
     - Enter ใช้สำหรับการยอมรับ หรือแทนการกด OK
     - Space Bar ใช้สำหรับการเลือกบนปุ่มที่มีการ high light ไว้ จะใช้งานคล้าย ๆ กับปุ่ม Enter
     - Home หรือ Ctrl + Home ใช้สำหรับการเลื่อน Scrool Bar ไปที่ตำแหน่งแรกของหน้าต่างนั้น
     - End หรือ Ctrl + End ใช้สำหรับการเลื่อน Scroll Bar ไปที่ตำแหน่งท้ายสุดของหน้าต่างนั้น
     - F1 มักจะใช้แทนความหมายของการเรียก Help File ขึ้นมาช่วยเหลือ
     - F2 มักจะใช้แทนความหมายของการ Rename ชื่อไฟล์ หรือการแก้ไขข้อความต่าง ๆ
     - F3 หรือ Ctrl + F3 ใช้สำหรับการค้นหาต่าง ๆ
     - Ctrl + F ใช้สำหรับการค้นหาต่าง ๆ คล้ายกันกับ F3
     - Ctrl + A ใช้สำหรับการเลือกทั้งหมดหรือแทนคำว่า Select All
     - Ctrl + C ใช้สำหรับการ copy ภาพหรือตัวอักษรที่เลือก เก็บไว้
     - Ctrl + X ใช้สำหรับการ cut ภาพหรือตัวอักษรที่เลือก เก็บไว้
     - Ctrl + V ใช้สำหรับการ past ภาพหรือตัวอักษรที่ได้เก็บไว้จากการ copy หรือ cut  


วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

    การใช้งาน   WindowsXP  อย่างง่าย

      การปรับแต่ง Startup and Recovery ของระบบวินโดวส์

    เป็นการกำหนดขั้นตอน เมื่อระบบวินโดวส์เริ่มต้นทำงาน และการกำหนดการกระทำ เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นให้เหมาะสม โดยทำการคลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก Advanced ในช่อง Startup and Recovery กดที่ปุ่ม Settings จะได้ตามภาพ



     ทำการยกเลิกการเครื่องหมายถูกใต้ช่อง System failure ออกให้หมด (สำหรับเครื่องหมายถูกด้านบนใต้ช่อง system startup ให้ปล่อยไว้ตามเดิม เนื่องจากเป็นการกำหนดการเลือกบูต Windows แบบหลายระบบ หรือถ้าหากเครื่องนั้น ลงระบบ Windows ไว้แค่ตัวเดียว ไม่ได้ใช้ลูกเล่นนี้ก็เอาออกไปได้เช่นกัน) จากนั้นก็กด OK


      ปิดการทำงานของ System Restore เพื่อไม่ให้เปลืองพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์

       เป็นการปิดการทำงานของระบบ System Restore หรือระบบย้อนเวลากลับของ Windows เช่น ถ้าหากเรามีการติดตั้ง ซอฟต์แวร์ลงไปในเครื่อง แล้วเกิดเปลี่ยนใจหรือว่าซอฟต์แวร์ตัวนั้น ไปสร้างปัญหาให้กับระบบ เราก็สามารถย้อยเวลากลับไป ณวันที่หรือเวลาที่เราต้องการได้ แต่เนื่องจากการที่จะสามารถ ย้อนเวลากลับไปได้นั้น Windows จะต้องใช้พื้นที่บน ฮาร์ดดิสก์ ส่วนหนึ่ง ในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ด้วย ตรงนี้แหละครับที่เรียกว่า System Restore ซึ่งถ้าหาก ไม่ต้องการ ใช้งานระบบในส่วนนี้ ก็จัดการปิดการทำงานไปซะดีกว่าครับ โดยทำการ คลิกเมาส์ขวาที่ My Computer บนหน้า Desktop เลือก Properties และเลือก System Restore ตามภาพ



    ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ช่อง Turn off System Restore on all drive แล้วกด OK

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

         ความเป็นมาของ CPU แบบ Multi-Coreแต่ก่อน CPU เป็นลักษณะของชิป(chip) ที่ภายในมีหน่วยประมวลผลอยู่หน่วยเดียวต่อมาความต้องการความสามารถในการประมวลผลมีมากขึ้นก็เริ่มมีการพัฒนาความเร็วของซีพียู (CPU) ให้มากขึ้นไปเรื่อยๆให้พอต่อความต้องการ เมื่อความเร็วนั้นพัฒนาขึ้นมากจนยากที่จะทำต่อไปได้จึงมีการนำ CPU มาใช้เทคนิคให้สามารถประมวลผลได้มากขึ้น เราเรียกว่าไฮเปอร์เทรดดิ้ง(Hyper-Threading) การทำงานแบบไฮเปอร์เทรดดิ้ง ยังมีข้อเสียหลายประการและเทคโนโลยีซีพียู จึงพัฒนามาสู่ยุคของซีพียูแบบหลายหน่วยประมวลผลหรือที่เรียกว่า (core) ซึ่งทำให้การพัฒนา
สมรรถนของซีพียูเป็นไปอย่างก้าวกระโดด
   
            วิวัฒนาการของซีพียู
       CPU จาก 8 บิต ถึง 64 บิต
การส่งข้อมูลนั้นจะสูงมาเป็น ชุดๆ  แต่ละชุดนั้นสามารถอ้างที่อยู่(address) ได้กี่ตัว  ก็ใช้เลขบิต(Bit) ตัวนี้เป็นตัวกำหนดว่าสามารถอ้างที่อยู่ ได้มากน้อยเพียงใด  ยิ่งอ้างได้มากนั่นหมายถึงทำให้ส่งข้อมูลเข้าหรืออออกที่ซีพียูตามไปด้วย  ซึ่งไม่ว่าจะทำงานเป็น 8,16,32,64 บิตได้หรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่รองรับการทำงานด้วย
8086, 8088  ซีพียูสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ ตระกูลเครื่องพีซีหรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล(PC) ตัวแรกเป็นผลผลิตของบริษัทอินเทล(Intel) ยักษ์ใหญ่มือวางอันดับหนึ่งของวงการซีพียูนั่นเอง
80286  ยุคเริ่มต้นซีพียูขนาด 16 บิตเริ่มจากซีพียูตัวนี้
80386, 80486  เป็น CPU เบอร์แรกที่ประมวลผลทีละ 32 บิต ทำให้สามารถจัดการหน่วยความจำได้ดีกว่า 80286
Pentium  เนื่องจากเริ่มมีบริษัทอื่นๆ ผลิตซีพียูสำหรับพีซีออกมาแข่งขันกับอินเทลจึงทำให้ CPU รุ่น
ถัดมาของ Intel ไม่ใช้ชื่อเรียกเป็นหมายเลข ใช้เป็นชื่ออื่นแทน
Pentium MMX, AMD K6 3DNOW, Cylix 6X86MX  คือ Pentium ที่เพิ่มความสามารถในเชิงมัลติมิเดีย (MMX สำหรับ Pentium, 3DNOW)
Intel Itanium  Intel ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการให้กับ CPU 64 บิตของตัวเองว่า  Itanuim
                จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่า   ในยุคเริ่มแรกซีพียู เป็นแบบหน่วยประมวลผลเดี่ยว
(single-core) แล้วจึงพัฒนาเป็นหลายหน่วยประมวลผล(multi-core)  ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาต่อไปอีกในอนาคตอาจจะมีชิปที่มีหน่วยประมวลมากมาย(many-core)  ดังกราฟข้างล่าง แสดงถึงการพัฒนาของCPU ควบคู่กับประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน
เมื่อซีพียูในช่วงแรกมีหน่วยประมวลผลอยู่หน่วยเดียวและทำงานด้วยความเร็วต่ำอยู่  ซึ่งจุดประสงค์หลักของการทำซีพียูที่ดีนั้น นักวิชาการก็มองว่ามีดังต่อไปนี้คือ  ต้องมีความเร็วนาฬิกา(clockspeed) ที่สูงหมายถึงการประมวลผลได้เร็ว  แคชหรือหน่วยความจำภายใน(Cache)  ขนาดใหญ่  ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการสลับสับเปลี่ยนข้อมูลจากหน่วยความจำหลัก(Main Memory) บัสที่สูงที่จะทำให้ซีพียูนั้นตอบสนองได้เร็วเนื่องจากเป้นเสมือนช่องทางเดินของสัญญาน  และซีพียูที่ทำงานติดต่อกันได้เป็นเวลานาน  ทนทานและใช้พลังงานต่ำ
2.3 Hyper-Threading (Intel, 2000)
การทำงานจะทำการจัดการข้อมูลต่างๆที่วิ่งเข้า-ออก  (I/O) ได้มากกว่า 1 เทรดเมื่เปรียบเทียบกับการทำงานในซีพียูปกติที่ไม่ได้เป็นไฮเปอร์เทรดดิ้งการที่ซีพียูทำงานส่งข้อมูลประมวลผลนั้น จะสามารถใช้แบนวิทหรือช่วงทางเดินสัญญาณ (Bandwidth)  มากขึ้นเพียง 35% เท่านั้นเองต่อการทำงานหนึ่งอย่าง แต่ถ้าเป็นดูอัลซีพียูหรือซีพียูสองตัว(Dual CPU) สามารถทำงานได้เร็วกว่าถึงเกือบสองเท่า และส่งงานต่างๆ ออกมาให้ทำทีละสองชิ้น (2 Thread) พร้อมกันอย่างแท้จริง  แต่การทำงานแบบไฮเปอร์เทรดดิ้งนั้นเป็นการทำงานกับโปรเซสได้ทีละมากกว่า 1 process  ต่อหนึ่งหน่วยเวลา  โดยเป็นการใช้เทคนิคของตารางงานซีพียู(CPU Schedule)  และหน่วยความจำภายในเพื่อทำให้ซีพียู จัดการโดยที่ไม่เพิ่มหน่วยประมวลผล(core)  ผลที่ได้ทำให้ได้ความเร็วในการประมวลผลเพิ่มขึ้นมาจากชิปยุคเดิมเล็กน้อย  ปัจจุบันวันนี้ซีพียูทั้งหมดเป็นไฮเปอร์เทรดดิ้ง  ซึ่งทำให้พูดได้ว่าไฮเปอร์เทรดดิ้งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่จำเป็นต้องเพิ่มเข้าไปในซีพียูยุคปัจจุบัน
ข้อมูลทั่วไปของซีพียู Multi-Core
ภายใน Chip CPU  นั้นมีหน่วยประมวลผลย่อย  ที่เราเรียกว่าคอร์มากกว่า  แต่ละคอร์มีหน่วยความจำหลักเป็นของตัวเอง  เรียกว่าแคชระดับที่1 หรือ  L1(Cache L1)แต่ละแกนอาจจะมีการใช้หน่วยความจำร่วมกันเรียกว่าแคช L2   การเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ภายในแคช L1  นั้นสามารถทำได้รวดเร็วกว่าการเข้าถึงแคช L2  หรือการเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยความจำหลัก  แต่การออกแบบโครงสร้างซีพียูนั้น  จะต้องมีส่วนที่ทำงานร่วมกันได้ด้วย  เพื่อที่จะทำให้สามารถประมวลผลร่วมกันได้ซึ่งส่วนที่จำทำงานร่วมกันก็คือแคช L2 นั่นเอง
     
3.1 Cache Memory
แคช(cache)  คือน่วยความจำขนาดเล็กที่มีความเร็วสูงซึ่งเก็บข้อมูล หรือคำสั่งที่ถูกเรียกใช้หรือเรียกใช้บ่อยๆ ข้อมูลและคำสั่งที่เก็บอยู่ในแคชซึ่งทำงานโดยใช้ SRAM(STATIC RAM) จะถูกดึงไปใช้งานได้เร็วกว่าการดึงข้อมูลจากหน่วยความจำหลัก(MAIN MEMORY)ซึ่งใช้  DRAM (DYNAMIC RAM )หลายเท่าตัวดดยในแคชของซีพียูแบบมัลติคอร์นั้น  ก็มีถึงสองระดับคือแคช L1  และแคช  L2  ซึ่ง  ซึ่งขนาดของแคชนั้นก็จะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่รุ่นของซีพียูนั้นๆ แต่โดยส่วนใหญ่ในขณะนี้(ปี  2550)  มีขนาดอยู่ที่  2-4 เมกกะไบท์โดยประมาณ
3.2 Clock Speed
ใช้อธิบายความถึงสมรรถนะของซีพียู  บอกถึงความเร็วในการประมวลผล ตัวอย่างเช่น ซีพียูที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิกา(Clock Speed) 3.2 GHz. สามารถทำงานได้เร็ววกว่า ซีพียูที่มีความเร็วสัญญานนาฬิกา 2.8 GHz ความเร็วสัญญานนาฬิกาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Clock rate คือ ความเร็วที่ซีพียูประมวลผลคำสั่ง  มีหน่วยวัดเป็นรอบต่อวินาทีหรือเฮิร์ท(Hz)  เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ต้องมีระบบสร้างสัญญาณนาฬิกาภายใน เพื่อใช้เป็นสัญญาณอ้างอิง ในการจัดระเบียบการประมวลผลคำสั่ง และควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกันอีกด้วย
ในซีพียูแบบมัลติคอร์นั้น  มิได้เน้นการพัฒนาทางด้านการเพิ่มความเร็วของสัญญานนาฬิกามากมายนักเนื่องจากการเพิ่มความเร็วของสัญญานนาฬิกา  จะเป็นการเพิ่มความต้องการพลังงาน  ซึ่งเป็นผลทำให้ความร้อนก็เพิ่มขึ้นด้วย
4. Dual-Core CPU
ดูอัลคอร์ (Dual-core) เป็นเทคโนโลยีการประมวลผลแบบคู่ขนาน โดยการอาศัยหน่วยประมวลผลอิเล็กทรอนิกส์หลายตัว มาคำนวณปัญหาที่ซับซ้อนร่วมกัน ซึ่งพัฒนาการล่าสุดของเทคโนโลยีดังกล่าว คือการสร้างชิปที่มีกำลังประมวลผล เทียบเท่าไมโครโพรเซสเซอร์ 2 ตัวโดยพื้นฐานคือการนำไมโครโปรเซสเซอร์ 2 ตัวมารวมกันไว้ในแพ็คเกจชิปเดียวกัน การทำงานจะเสมือนระบบซิงเกิลคอร์ที่ซัพพอร์ตเทคโนโลยีมัลติเธรด (Multithread) คือสามารถทำงานหลายๆงานหรือหลายๆเธรดได้ในเวลาเดียวกัน แต่ต่างกันตรงความเร็วที่ต่ำกว่าและกินไฟน้อยกว่า เมื่อมีหน่วยประมวลผลสองหน่วย จะทำให้สามารถทำงานได้สองเทรดอย่างแท้จริง เนื่องจากมีหน่วยประมวลผลสองหน่วยจริงๆ แตกต่างจากการทำเทคนิคของซีพียูแบบไฮเปอร์เทรดดิ้ง
     
ประโยชน์ของ Dual-core
ชิปประเภทดูอัลคอร์นั้นเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน(2007) สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลประโยชน์ของมันคือการทำงานแบบหลายงานได้ใน  เวลาเดียวกันดังที่ได้อธิบายไปแล้วในแง่ของความเร็วซีพียูแบบดูอัลคอร์จะประมวลผลได้เร็วกว่าซีพียูแบบซิงเกิลคอร์เนื่องจากเป็นการทำงานของหน่วย ประมวลผลสองหน่วยจะช่วยกันทำงานพร้อมกันในแง่ของความประหยัดพลังงานดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าการพัฒนาซีพียูแบบมัลติคอร์นั้น  จะไม่เน้นการความเร็วของสัญญานนาฬิกาแต่จะเน้นในเรื่องของการเพิ่มจำนวนของคอร์ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าดังนั้นการใช้พลังงานจะลด  ต่ำลงกว่าชิปที่มีความเร็วสัญญานนาฬิกาที่สูงในแง่ของความมีเสถียภาพเป็นผลพวงมาจากการใช้พลังงานที่ต่ำทำให้ความร้อนไม่สูงมาก จึงสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง  ในส่วนของเปรียบเทียบข้อมูลทางเทคนิคในการพัฒนาซีพียูแบบมัลติคอร์ (multi-core optimization) จะกล่าวถึงในบทต่อไป
4.2  Dual-Core  กับการนำมาใช้งาน
                งานที่เหมาะกับชิปประเภทนี้คืองานที่ต้องการความเร็วในการประมวลผลสูง  เช่นการทำงานเกี่ยวกับมัลติมีเดียซึ่งต้องมีการเรนเดอร์  นั่นหมายถึงนอกจากจะต้องการความเร็วแล้ว  ยังต้องการระยะเวลาในการประมวลผล(CPU Time) พร้อมกับบัฟเฟอร์หรือแหล่งพักข้อมูลที่ใหญ่นั่นหมายความถึงแคชที่มากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้โปรแกรมประยุกต์หรือไม่ว่าจะเป็นเกมส์ใหม่ๆ ยังถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับซีพียูแบบดูอัลคอร์อีกด้วย สรุปคือเหมาะกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลสมัยใหม่นั่นเอง
5.  Quad-Core CPU
ควอดคอร์ซีพียูหรือชิปแบบที่หน่วยประมวลผลสี่หน่วยเป็นการพัฒนาขั้นต่อมาของดูอัลคอร์  ซึ่งได้เปรียบเทียบให้ดูจากรูปข้างบนหลักการทำงานนั้นเหมือนกันกับดูอัลคอร์  แต่จะมีหน่วยประมวลผลถึงสี่หน่วยประมวลผลนั่นคือสามารถทำงานได้พร้อมกันถึงสี่เทรดเป็นการเพิ่มสมรรถนะของซีพียูขึ้นไปอีก  และได้รวมข้อดีของซีพียูแบบดูอัลคอร์ไว้หมดแล้วไปโดยปริยาย
5.1  ประโยชน์ของ Quad-Core
ชิปประเภทนี้นิยมนำมาใช้งานสำหรับงานที่ต้องการพลังการประมวลผลระดับสูงและการทำงานพร้อมกันทีละหลายงาน  และชิปประเภทนี้ได้รวมเอาข้อดีทั้งหมดของดูอัลคอร์ไว้หมดแล้ว  นั่นคือทั้งความเร็ว  การประหยัดพลังงาน  อุณหภูมิ  แต่ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาคือหน่วยประมวลผล  และแคชที่ใหญ่กว่าดูอัลคอร์มาก  ทำให้การทำงานยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก
5.2  Quad-Core  กับการนำมาใช้งาน
                เป็นที่รู้กันแล้วควัดคอร์รวมเอาข้อดีของดูอัลคอร์ไว้หมดแล้ว  ดังนั้นงานที่ดูอัลคอร์ทำได้ควัดคอร์ก็ย่อมทำได้ดีเช่นกัน   แต่งานที่เหมาะสมกับควัดคอร์นี้จะเป็นงานที่เกี่ยวกับเซิร์ฟเวอร์  เพราะเนื่องจากต้องการความรวดเร็วในการประมวลผล  และมีการเรียกใช้งานกับไคลเอนท์จำนวนมากดังนั้นชิปแบบควัดคอร์นี้จะมีความเหมาะสมในการจัดทำเป็นเซิร์ฟเวอร์  ระยะเวลาในการใช้งานก็มีส่วนมาก  เนื่องจากการทำงานแบบสี่หน่วยประมวลผล  จะสามารถแบ่งเบาภาระงานในการประมวลผลได้  ทำให้การรักษาความร้อนเป็นไปอย่างดีเยี่ยมทำให้สามารถทำงานให้บริการเครื่องลูกข่ายได้อย่างต่อเนื่อง
6.  ข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับการพัฒนา
                ในบทนี้เราจะมาดูกันถึงการพัฒนาสมรรถณะของซีพียูแบบมัลติคอร์ว่าเป็นไปอย่างไร  ทั้งในแง่ของความเร็วและพลังงาน  ทำให้เราทราบถึงที่มาของซีพียูลักษณะนี้  และจะกล่าวถึงข้อเสียของซีพียูประเภทมัลติคอร์ด้วย 
6.1  การพัฒนา
การเพิ่มความเร็วให้กับชิปนั้น  เพื่อให้ได้มาซึ่งความสมรรณนะที่เพิ่มขึ้นแล้วโดยหลักก็คือการเพิ่มความเร็วของสัญญานนาฬิกาขึ้นมานั่นเองแต่การกระทำดังกล่าวทำให้ซีพียูต้องใช้พลังงานมากขึ้น  ทำให้เกิดความร้อนสูงตามมาอีกด้วย  ต่อมาเมื่อมีแนวคิดการเพิ่มคอร์ให้กับซีพียูแล้ว  ทำให้การพัฒนาแบบใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา  นั่นคือการเพิ่มหน่วยประมวลผลให้แก่ซีพียูปรากฏซ่าผลที่ออกมาเป้นที่น่าพอใจ  นั่นคือซีพียูนอกจากจะทำงานในสมรรถนะที่สูงขึ้นมากแล้วยังใช้พลังงานน้อยกว่าอีกด้วย  ทำให้ได้มีการเพิ่มจำนวนคอร์ให้กับซีพียูเป็นสี่  แปด  หรือมากกว่านั้นทำให้การพัฒนาซีพียูในยุคใหม่นี้นอกจากจะพัฒนาความเร็วสัญญานนาฬิกาแล้ว  ยังเน้นถึงเรื่องการประหยัดพลังงานและการเพิ่มหน่วยประมวลผลด้วยทำให้การพัฒนาซีพียูในยุคนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว
6.2  ข้อดี
1.  การดีไซน์ซีพียูแบบมัลติคอร์ทำให้แคชของแต่ละคอร์ออกแบบมาให้แคบอยู่ใกล้กันกับซีพียูทำให้สัญญาณที่สิ่งระว่างแคชไปที่ซีพียูนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว
2.  ในแต่ละที่ประกอบไปด้วยซีพียูและแคชนั้นอยู่ใกล้กันมากดังนั้นจึงมีการเพิ่มเทคโนโลยีที่ชื่อว่า  Cache coherency ซึ่งเป็นการทำให้ข้อมูลในแต่ละแคชนั้นเข้าถึงกันได้ สามารถแบ่งงานกันโหลดได้ระหว่างหน่วยประมวลผล
3.  เนื่องจากมัลติคอร์ใช้พื้นที่ของแผงวงจรน้อยกว่า  ทำให้มีสมรรถนะสูงกว่า ขณะที่อัตราการใช้พลังงานยังคงอยู่ในระดับเดียวกันเมื่อเทียบกับซีพียูแบบเดิม  นอกจากนั้น ระบบจัดการความร้อนที่เล็กลงทำให้ใช้ไฟน้อยลงด้วย  จึงช่วยประหยัดพลังงาน แต่ความร้อนกลับน้อยลง เพราะมัลติคอร์ ไม่ได้ใช้งานทุกคอร์ตลอดเวลา
4.  ราคาลดต่ำลงมาเรื่อยๆ  จนในตอนนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใหม่ๆก็เริ่มทยอยกันใช้ซีพียูแบบดูอัลคอร์กันหมดแล้ว
      
        6.3  ข้อเสีย
1.  การเพิ่มจำนวนหน่วยประมวลผลให้สามารถบรรจุอยู่ในซีพียูเพียงแค่ตัวเดียวได้นั้นต้องการความละเอียดสูงเป็นหน่วยนาโนเลยทีเดียวนั่นคือปัญห
าของความยากในการผลิตทำให้ซีพียูนั้นมีราคาแพง
2.  Application  ที่จะทำงานร่วมกับมัลติคอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องรองรับการทำงานแบบมัลติคอร์ด้วย 3.การทำงานบางอย่างซิงเกิลคอร์ก็ประมวลได้เรวกว่าดูอัลคอร์อยู่
       7.   ผลกระทบที่เกิดจากมัลติคอร์
                การพัฒนาชิปประเภทมัลติคอร์นั้นส่งผลกระทบกับเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์  ซอฟแวร์  เนตเวิร์ค  ก็เปลี่ยนผันพัฒนาไปตามความเร็วของซีพียูที่มีมากขึ้น
       7.1  ผลกระทบทางด้านฮาร์ดแวร์
                เมื่อมีการประมวลผลที่รวดเร็วขึ้น ต้องเพิ่มหน่วยความจำหลักเพื่อให้เหมาะสมกับความเร็วของซีพียูนั่นคือการเพิ่มแรมนั่นเองทำ  อีกทั้งการพัฒนาโปรแกรมมีแนวโน้มว่าโปรกแรมจะขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  การประมวลผลข้อมูลจำนวนมากแน่นอนว่าต้องการแหล่งเก็บข้อมูลขนาดที่เพิ่มขึ้น  ทำให้การเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลนั้นก็จำเป็นไม่แพ้กันนั่นก็คือขนาดของฮาร์ดดิสต้องใหญ่ขึ้นตามมา  การพัฒนาช่องทางการติดต่อ (interface)ก็ต้องได้รับการปรับปรุงเช่นกัน  อาจจะเพื่อการนำสัญญาณที่ดีขึ้นหรือรองรับกับขนาดของชิปทำให้สล๊อต(Slot)  ที่อยู่บนเมนบอร์ดจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไป
      
7.2 ผลกระทบทางด้านซอฟท์แวร์
                การประมวลผลเป็นไปอย่างมีสมรรถนะมากขึ้น  ซอฟแวร์ต่างๆจึงมีขนาดใหญ่ขึ้น  และใช้ซีพียูไทม์ได้อย่างเต็มที่เช่นการตัดต่อมัลติมีเดียร์ที่จะมีโปรแกรมที่ความสามารถมากขึ้น  โปรแกรมประยุกต์อื่นๆ  ที่รองรับการทำงานแบบมัลติคอร์ทำให้ประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น   หรือว่าจะเป็นการประมวลทศนิยมจำนวนมากๆ ก็ทำได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ในเวลาอันเท่าเดิมเมื่อเทียบกับซีพียูแบบซิงเกิลคอร์  และที่เห็นได้ชัดแล้วในปุจจุบันคือเกมส์คอนโซล์ใหม่ๆที่ต้องใช้สเปกเครื่องที่สูงๆเพื่อความสมจริงในการเล่น  จำเป็นที่จะต้องใช้งานซีพียูแบบดูอัลคอร์  การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน  การเขียโปรแกรมให้ทำงานโดยดึงข้อดัของมัลติคอร์มาใช้งานนั้นทำเป็นไปอย่างยากขึ้น  การเขียนเทรดจะดีบักโปรแกรมแบบเดิมไม่ได้อีกแล้วเพราะว่าเป้นการประมวลผลแบบสองหน่วยประมวลผลโดยแท้จริง
      
7.3  ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
                การใช้งานของผู้ใช้งานเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาก  เพราะว่าแต่ก่อนการทำงานนั้นจะเน้นทำให้เสร็จไปทีละงาน  เนื่องจากข้อจำกัดด้านสมรรถนะของซีพียู  แต่เมื่อมีมัลติคอร์เข้ามามีส่วนช่วยในการประมวลผลแทนที่ชิปแบบเดิมๆ  การทำงานทีละหลายๆอย่างพร้อมกันจะเป็นไปได้อย่างดีเยี่ยมมากขึ้น  ผู้ใช้งานอาจจะฟังเพลง  เรนเดอร์งานมัลติมีเดียร์  และเล่นเกมส์ไปด้วยในเวลาเดียวกันได้เลยก็สามารถทำได้  เนื่องจากการที่มีหน่วยประมวลผลหลายหน่วยนั่นก็หมายถึงการงานได้ทีละหลายๆงาน  หรือว่าจะเป็นส่วนติดต่อกับผู้ใช้(User Interface) แบบใหม่ที่ต้องใช้กำลังการประมวลผลเช่น มัลติทัชสกรีน ก็จะเป็นเรื่องที่ไกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้น อีกทั้งแนวโน้มในการใช้งานก็จะมีการใช้งานซีพียูแบบมัลติคอร์กันอย่างแพร่หลายจากข้อดีของมันนั่นเอง ดังที่ได้เห็นทุกวันนี้การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ ก็จะถามถึงแต่มัลติคอร์ซีพียูกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือเมนเฟรมก็ตามแต่
8.  การเลือกซื้อซีพียูแบบมัลติคอร์
การเลือกซื้อมีหลักการดังต่อไปนี้
1. ความต้องการว่าท่านต้องการซื้อมัลติคอร์ซีพียูไปทำอะไร
2. ประเภทการใช้งานว่าการใช้งานเกี่ยวกับด้านไหน  เป็นการใช้งานทั่วไปหรือเฉพาะทาง
3. ความเร็วของซีพียูว่าเพียงพอต่อความต้องการของโปรแกรมที่ท่านจะนำไปใช้งานหรือไม่
4. หน่วยความจำภายในหรือแคชต้องมีขนาดใหญ่พอและเหมาะสมกับองค์ประกอบโดยรวม
5. องค์ประกอบโดยรวมของเครื่องนั่นคือต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยความจำ ความเร็วเครือข่าย ความสามารถของการ์ดแสดงผล ความจุข้อมูล ความสามารถในการจ่ายไฟ เป็นต้น
6. ราคาต้องไม่แพงเกินกว่าที่จะซื้อหามาได้
7. ประกัน  แม้ว่าจะไม่ส่งผลต่อการใช้งาน  แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกันหากมีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชิป
8.1  ระดับของการใช้งานแต่ละประเภท
8.1.1 Home User / Office
เน้นไปที่ใช้งาน application ทั่วไป  มีเสถียรภาพ   จะเลือกชิปที่ไม่ต้องแพงแคชไม่มากและความเร็วไม่ต้องสูง    เพื่อจะได้ราคาที่คุ้มค่าที่สุด  เช่น
Chip : Sempron64,Athlon64,Core2Duo
Clock :2200~3000 GHz
Cache : 512~1024 KB

8.2.2 Notebook
ทำงานได้ในลักษณะที่เหมือนกับ Home User   เน้นไปที่การประหยัดพลังงาน
เลือกชิปที่ออกแบบมาสำหรับ notebook โดยเฉพาะของแต่ละค่ายและราคาจะสูงกว่าปกตินิดหน่อยเช่น
Chip : Turion64,PentuimM
Clock :2000~2800 GHz
Cache : 512~1024 KB
8.2.3 Developer
สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการใช้ในการเขียนโปรแกรม    ต้องการความรวดเร็วและหน่วยความจำจำนวนมาก   มีเสถียรภาพใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง   ประมวลผลได้ทีละหลายงานพร้อมกัน   จะเลือกหาชิปที่มีขนาดของ clock สูงๆ
Chip : Core2Extreme , Athlon64X2
Clock :3800~4500 GHz
Cache : 2~4 MB
8.2.4 Multimedia
สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการใช้ในการเขียนโปรแกรม   ต้องการความรวดเร็วและหน่วยความจำจำนวนมาก มีเสถียรภาพใช้งานได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะเลือกหาชิปที่มีขนาดของ  cache มากๆ
Chip : Core2Quad , Athlon64X2
Clock :3200~3800 GHz
Cache : 4~6 MB
8.2.5 Workstation
ต้องการความทนทาน  สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและต้องการหน่วยความจำจำนวนมาก  ดังนั้นจึงแสดงตัวอย่างสเปกเครื่องดังนี้
Intel? Core? 2 Extreme quad-core Xeon
Clock : 2.66-3.00 GHz
Mfg. Process : 65 nm
Transistors 582 million
Addressable Memory : 64 GB
Cache L2 : 8 MB
Bus : 1066-1333 MHz
นอกจากนี้ก็ยังมีของค่ายอื่นๆเช่น UltraSPARC T2, T1 , Cell(IBM)
8.2.6 Mainframe
มีความปลอดภัย  อุณหภูมิต่ำ  ทำงานอย่างต่อเนื่อง  มีความรวดเร็วใช้หน่วยความจำมากเราจะใช้ CPU ที่มีคุณภาพสูงเป็นรุ่นที่ออกแบบ
มาเพื่อนเฉพาะรุ่นที่รองรับกับอุปกรณ์และระบบปฏิบัติการของเมนเฟรมนั้นๆจะขายเป็นชิปและอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆที่สามารถทำงานเข้ากันได้ดี  อย่างเช่นชุดเซฟเวอร์ของ  IBM, SunMicrosystem   เป็นต้น
9.  แนวโน้มในอนาคตและบทสรุป
                การพัฒนาชิปและเทคนิคตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นไปอย่างรวดเร็วในแง่ของสมรรถนะและปัจจุบันยังเน้นถึงประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้คุ้มค่ามากที่สุดอีกด้วย  และในบทนี้จะกล่าวถึงแนวโน้มในอนาคตและบทสรุปของเรื่องราวเกี่ยวกับซีพียูแบบมัลติคอร์อีกด้วย
9.1  TeraSacle
                เทอราสเกลหรือบางค่ายก็เรียกว่าเทอราฟล็อบส์(Teraflops)แต่ในที่นี้จะเรียกรวมว่าเทอราสเกลเป็นเทคโนโลยีซีพียูแบบหลายคอร์ที่กำลังพัฒนา  และจะเปิดตัวใช้งานในอนาคตอันใกล้นี้แนวคิดนี้มาจากการเพิ่มจำนวนหน่วยประมวลผลเข้าไปในซีพียทำให้ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น  โดยเริ่มจากการเพิ่มจำนวนคอร์เป็นสอง  นั่นก็คือซีพียูแบบดูอัลคอร์ที่ประหยัดพลังงานและทำงานได้เร็วกว่าซิลเกิลคอร์  และเพิ่มคอร์เป็นสี่  ก็ทำให้ได้ซีพียูแบบควัดคอร์ที่ทำงานได้เร็วและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าดูอัลคอร์  ดังนั้นจึงมีแนวคิดการเพิ่มจำนวนคอร์ให้มากๆเป็น   Many Core ซีพียู  หรือซีพียูที่มีหน่วยประมวลผลมากมายภายในชิปตัวเดียว
                ข้อดีของเทอราสเกลนั้นทำให้หน่วยประมวลผลที่มีมากมายสามารถถูกแบ่งออกมาประมวลผลเฉพาะด้านและแบ่งเบาภาระงานกันเองได้เนื่องจา
กโครงสร้างของชิปแบบเทอราสเกลในหนึ่วงหน่วยประมวลผลนั้นนั้นแบ่งออกเป็นCore  หรือหน่วยประมวลผลทำหน้าที่ประมวลผลทำหน้าประมวลผล
Internal Cache  หรือแคช L1 นั่นเองซึ่งหน่วยความจำภายใน
Shared Cache  หรือแคช L2  เพื่อให้แต่ละตัวทำงานร่วมกัน
Routing  เป็นส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่  เมื่อมีหน่วยประมวลผลจำนวนมากจะต้องมีตัวที่คอยจัดการการทำงานร่วมกันของแต่ละหน่วยประมวลผล
ส่วนการวางตัวเรียงกันของหน่วยประมวลผลคล้ายกับการปูกระเบื่องจึงเรียกโครงสร้างแบบนี้ว่าสถาปัตยกรรมซีพียูแบบ  Tiled Processor
                       ตั้งแต่อดีตความต้องการความเร็วในการประมวลผลของซีพียูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  มีการพัฒนาเทคนิคต่างๆเพื่อให้ซีพียูประมวลผลได้เร็วขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเร็วของสัญญานนาฬิกาการเพิ่มขนาดของแคช  การใช้เทคนิคจัดการตารางงานของซีพียูที่มีคุณภาพ  การเพิ่มจำนวนของหน่วยประมวลผล และเดี๋ยวนี้ยังคำนึงถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน  แต่ดูเหมือนว่าความต้องการพลังในการประมวลผลนั้น  ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงจุดสิ้นสุด  การพัฒนายังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเทคโนโลยีไดที่เราคิดว่าสูงส่ง  อาจจะกลายเป็นแค่ของธรรมดาๆ  ที่มีใช้กันอยู่ทั่วไปในอนาคตอย่างเช่นดูอัลคอร์  ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้คือการเพิ่มหน่วยประมวลผลทำให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ต่อวงการคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านฮาร์ดแวร์  ซอฟท์แวร์  เนตเวิร์ค    หรือยูเซอร์ ก็ต่างเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของชิปกันทั้งหมด  ผลที่ตามมาคือเราสามารถทำงานได้เร็วขึ้น  ทำงานได้หลายอย่างมากขึ้น  และคอมพิวเตอร์ก็ตอบสนองกับเราในสิ่งที่หลากหลายไปกว่าเดิม  เมื่อข้อจำกัดทางด้านของหน่วยประมวลผลถูกพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเช่นนี้เราเองซึ่งเป็นผู้ใช้งานก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่เสมอเพื่อปรับตัว  ให้เข้ากับเทคโนโลยีในปัจจุบันได้อย่างทันสมัยและใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด
ในแง่ของการใช้พลังงานนั้นชิปแต่ละตัวที่ถูกส่งออกมาใหม่ๆ  จะเน้นในเรื่องของการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยลดปัญหาใหญ่คือภาวะโลกร้อนและเมื่อลดพลังงานก็ทำให้อุณหภูมิลดตามไปด้วย  เราจะพบเห็นชิปที่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ
ในแง่ของราคาและการถูกนำมาใช้งานเป็นธรรมดาที่เทคโนโลยีใหม่ๆจะมีราคาที่สูงอาจจะเป็นเพราะความยากในการผลิต  และความต้องการของผู้คน  แต่อุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์เหล่านี้เมื่อถูกวางจำหน่ายแล้ว  มีแนวโน้มว่าจะลดราคาลงอยู่ตลอด  จนเป็นสิ่งที่เราสามารถมีไว้ครอบครองได้และการเลือกสรรนั้นควรเลือกสรรให้เหมาะสมกับการใช้งานอีกด้วยทำให้ในภายภาคหน้าทุกคนคงจะ  ต้องมาใช้มัลติคอร์ซีพียูกันทั้งหมดจนกลายเป้นมาตราฐานที่ทุกคนยอมรับกันในที่สุด  และซีพียูยังคงถูกพัฒนาต่อไป

ความรู้คอมพิวเคอร์

ประวัติความเป็นมาของ CPU ตระกูลของ Intel
      
                                                 

หลังจากที่ Intel ออกCPU สำหรับอุปกรณ์พกพาในชื่อว่า Atom ไปเรียบร้อยแล้วนั้น กระแสก็ออกมาแรงเห็นๆ ทั้งกลุ่มผู้ผลิตมากมายก็เจาะตลาดขาย Netbook กันอย่างล้นหลาม Intel นั้นมีตำนานในการผลิต Microprocessor ตั้งแต่ใช้ในเครื่องคิดเลข และพัฒนาต่อยอดขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งทำให้เห็นว่าศักยภาพของการพัฒนาที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ทำให้เราได้ใช้เทคโนโลยีอย่างไร้ขีดจำกัด อยู่ที่ว่าเงินในกระเป๋าเราจะมีแค่ไหน ที่นี่เรามาย้อนดูวิวัฒนาการตั้งแต่ ปี 1971 จนถึงปัจจุบันกัน

1971 : 4004 Microprocessor รุ่นแรกของ Intel ใช้งานในเครื่องคิดเลข

1972 : 8008 Microprocessor รุ่นที่พัฒนาต่อมา ใช้งานแบบ "TV typewriter" กับ dump terminal

1974 : 8080 Microprocessor รุ่นนี้เป็นการใช้งานแบบ Personal Computer รุ่นแรก 

1978 : 8086-8088 Microprocessor หรือรุ่น XT ยังเป็นแบบ 8 bit เป็น PC ที่เริ่มใช้งานจริงจั 
1982 : 80286 Microprocessor หรือรุ่น AT 16 bit เริ่มเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานแพร่หลายกันแล้ว

1985 : 80386 Microprocessor เริ่มเป็น CPU 32 bit และสามารถทำงานแบบ Multitasking ได้

1989 : 80486 Microprocessor เข้าสู่ยุคของการใช้จอสี และมีการติดตั้ง Math-Coprocessor ในตัว

รุ่นแรกๆ ทาง Intel ใช้ชื่อรุ่นเป็นรุ่นของ CPU นั้นๆเลยจึงเกิดการเลียนแบบเทคโนโลยีกันขึ้นโดยค่ายอื่นได้ผลิตเทคโนโลยีตามหลังIntelมาเรื่อยๆ ต่อมาทาง Intel ได้ใช้ชื่อ Pentium แทน 80486 เนื่องจากการที่ ชื่อสินค้าที่เป็นตัวเลขกฏหมายไม่ยอมให้จดลิขสิทธิ์ จึงเป็นที่มาของชื่อ Platform ต่างๆ

1993 : Pentium Processor ยุคแรกที่ Intel ใช้ชื่อว่า Pentium

1995 : Pentium Pro Processor สำหรับเครื่อง Server และ Work Station โดยต่อมาได้ผลิตเทคโนโลยี
MMX และทำเป็น Intel MMX

1997 : Pentium II Processor รวมเ Technology ของ Pentium Pro คือ มี cache ระดับ 2 รวมอยู่บน

package เดียวกับ CPU กับ Technology MMX ไว้ด้วยกัน แล้วทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน
1998 : Pentium II Xeon(TM) Processor สำหรับ Server และ Work Station

1999 : Celeron(TM) Processor สำหรับตลาดระดับล่างของ Intel ที่ตัดความสามารถบางส่วนออก เพื่อลด
ต้นทุนการผลิต และ สามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่า Pentium II มาก แต่ถึงแม้ Celeron ที่ออกมา
นั้น จะใช้ในงานด้าน เล่นเกมส์ได้ดี แต่กลับงานประเภท office application กลับทำได้แย่กว่า หรือ
พอพอกับ Pentium MMX

1999 : Pentium III Processor เพิ่มชุดคำสั่งที่ช่วยประมวลผลในด้านต่างๆไปใหม่ ในลักษณะของ MMX

1999 : Pentium III Xeon(TM) Processor สำหรับ Server และ Work Station
2001 : Pentium 4 Processor มีเทคโนโลยี HT ทำให้การใช้งานทีละหลายโปรแกรมได้ดีขึ้น

2003 : Pentium M ส่วนใหญ่ใช้ใน mobile technology เนื่องจากใช้กำลังไฟฟ้าน้อย
2005 : Pentium D มีการใช้สถาปัตยกรรมแบบ Multi-core เพิ่มเข้ามาโดยมี2 coreแต่ละ core จะเป็นอิสระ
ต่อกัน
2006 : Intel Core duo นี่แหละครับพระเอกของเรา ต่างกับ Pentium D ตรงที่มีการแชร์ 2 core ด้วยกัน
(dual core)

2006 : Intel Core 2 Duo รองรับชุดคำสั่ง 64 bit และยังประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย
2006 : Intel Core 2 Extreme QX6700 คือ มี 4 core
2006 : Yorkfield คือ 8 core

ที่มา hunsa.com

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รหัสบอกตัวเลข

                                    CHAYANUT  NANCHA
                       ใช้พื้นที่ทั้งหมด  15  ไบต์
              จัดเก็บและประกอบอยู่ด้วยรหัส  ASCLL
                  C=100 0001   รหัส ASCLL   = 41H
                  H=100 1000   รหัส ASCLL   = 48H
                  A=100 0001   รหัส ASCLL   =41H 
                  Y=101 1001   รหัส ASCLL   =59H
                  A=100 0001   รหัส ASCLL   =41H
                  N=100 1110   รหัส ASCLL   =4CH
                  U=101 0101   รหัส ASCLL   =55H
                  T=101 0100    รหัส ASCLL  =54H
           Spaca=010 0000 (ช่องว่าง)    รหัส ASCLL  =20H
                  N=100 1110    รหัส ASCLL  =4AH
                  A=100 0001    รหัส ASCLL  =41H
                  N=100 1110    รหัส ASCLL  =4CH
                  C=100 0001    รหัส ASCLL  =41H
                  H=100 1000    รหัส ASCLL  =48H
                  A=100 0001    รหัส ASCLL  =41H

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กฎของมัวร์(Moore's Law)

กฎของมัวร์ (Moore's Law)


            หากกฎของมัวร์เป็นจริงคอมพิวเตอร์จากอดีตสู่ปัจจุบันจะก้าวไปอย่างไรในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที ่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ

พ.ศ. 2508 อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวได้แพร่หลาย มีบริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจรอิเล็กทรอนิกส์  กว้างขวางขึ้น มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรม
กอร์ดอน มัวร์ (Gordon E. Moore)ผู้อำนวยการวิจัยและพัฒนาของบริษัทแฟร์ซายด์เซมิคอนดัคเตอร์เป็นผู้อยู่ในวงการวิจัยและพัฒนา ผลิตภัณฑ์ และการค้นคว้า ทางด้านสารกึ่งตัวนำ ต่อมาเขาได้เป็นผู้บุกเบิกและร่วมสร้างบริษัทอินเทลจนมีชื่อเสียงโด่งดังและประสบผลสำเร็จ การผลิตและการค้นคว้าทางด้านสารกึ่งตัวนำส่วนใหญ่ของแฟร์ซายด์จะอยู่ในการดำเนินการของมัวร์เขาได้คลุกคลีกับเทคโนโลยีมาอย่าง ต่อเนื่อง และยาวนานจากการสังเกตและคาด คะเน แนวโน้มทางเทคโนโนโลยีของมัวร์ในที่สุดเขาได้ตั้งกฎของมัวร์ (Moore's Law) จนเป็นที่ยอมรับ และทำให้การคาดคะเนอนาคตได้ใกล้เคียง ความเป็นจริง
 ทฤษฎีของมัวร์ได้กล่าวไว้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความซับซ้อนของเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอรืทำให้สามารถผลิต     ไอซีที่มี ความหนาแน่นไดด้เป็นสองเท่าทุก ๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาได้ทำการพล็อตกราฟแบบสเกลล็อกให้ดูจากอดีตและพบว่าเป็นเช่นนั้นจริง นอกจากนี้ความก้าวหน้าอื่น ๆ อีกหลายอย่างก็เป็นไปตามกฎของมัวร์ด้วยเช่นกัน
การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต ทรานซิสเตอร์แบบ    planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ เทคโนโลยีนี้เป็นต้นแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐานที่กล่าวอ้างไว้พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์ก็ได้กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์
กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ (Moore’s law) ขึ้น ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม จะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุกสองปี และมีผู้นำกฎนี้มาใช้กับ eCommerce ดังนี้
กำลัง (หรือ ความจุ หรือ ความเร็ว) ของสิ่งต่อไปนี้เพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ 18 เดือน
1. ความเร็ว Computer Processor
2. แบนด์วิธการสื่อสารและโทรคมนาคม
3. หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์
4. ความจุฮาร์ดดิสก์

    

                กฎของมัวร์ (Moore’s Law)

                                     
กฎของมัวร์ (Moore’s law) อธิบายโดย กอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore) อดีตซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทลกล่าวถึง ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม จะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุกสองปี
                                          
                                                                                                                

                                                  

                                     


                                                           

 
                                                  




                            ลักษณะการผลิตไอซี


                พลาน่าทรานซิสเตอร์เป็นการผลิตทรานซิสเตอร์โดยใช้แผ่นหน้ากากที่เรียกว่า  มาสก์   โดยกระบวนการโฟโตกราฟิกที่พิมพ์ลงบนผิวซิลิกอนแล้วทำการเจือสารด้วยวิธีการแพร่ส่รเจือปนลงไปในเนื้อของซิลิกอนทำให้เกิดเป็นรอยต่อ  p และ n  เกิดเป้นคุณสมบัติทรานซิสเตอร์ได้
การสร้างทรานซิสเตอร์แบบนี้ทำได้ง่ายแต่มีข้อแม้คือทรานซิสเตอร์จะไม่สามารถให้กระแสได้สูงซึ่งการนำแผงทรานซิสเตอร์ที่สร้างบนผิวพื้นเดียวกันต้องการให้ไอของโลหะเป็นฟิมล์บางๆเชื่อมต่อเพื่อนำกระแสระหว่างกันโดยมีชั้นของซิลิกอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นฉนวนตัวกั้นทำให้ได้วงจงไอซี  พัฒนาการของไอซีทำให้เกิดการรวมอุปกรณ์เข้าไว้ในแผ่นซิลิกอนอยู่บนผิวหน้าเดียวกันได้  แผ่นซิลิกอนนี้นำมาจากการผลิตซิลิกอนให้บริสุทธิ์แล้วทำให้เป็นแผ่นบางๆเรียกว่า  เวอเฟอร์  นำแผ่นเวเฟอร์นี้มาเจือสารให้เป็นวงจรไอซีต่อไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำใหเแผ่นหน้ากากมีความละเอียดได้มากประจวบกับเทคโนโลยีทางภาพถ่ายได้ก้าวหน้าขึ้น  แผ่นหน้ากากจึงทำได้คมและมีรายละเอียดที่เล็กมากได้  การเจือสารก็ใช้วิธีผิวอนุภาคของสารเจือปนเข้าไปยังแผ่นโดยตรงทำให้เทคนิคของการสร้างวงจรไอซีทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ




                                             


Scientists at Rice University and North Carolina State University have found a method of attaching molecules to semiconducting silicon that may help manufacturers reach beyond the current limits of Moore's Law as they make microprocessors both smaller and more powerful. (Credit: Image courtesy of Rice University)

กฎของมัวร์ที่เคยมีข้อจำกัดฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยไรซ์และมหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐนอร์ธแคโรไลน่าได้ค้นพบวิธีการใหม่ในการเติมโมเลกุลเข้าไปในสารกึ่งตัวนำชนิดซิลิกอนได้แล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ให้เล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการก้าวพ้นขีดจำกัดของกฎของมัวร์ได้แล้ว

กฎของมัวร์นั้นเคยใช้ได้กับช่วงแรกเริ่มพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ โดยกอร์ดอน มัวร์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทลได้กล่าวไว้ในปี 1965 ว่า จำนวนของทรานซิสเตรอ์ที่บรรลุได้ในวงจรรวมวงจรหนึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในระยะเวลา 18 เดือน แต่ในช่วงหลังๆนี้ กฎของมัวร์กลับไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว และแม้แต่มัวร์เองก็เคยบอกเอาไว้ว่ากฎนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้อย่างไม่จำกัดเช่นกัน

"สิ่งที่ท้าทายนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่คือการก้าวข้ามขีดจำกัดในการ'โดป'ซิลิกอนให้ได้ โดยการโดปนี้เป้นกระบวนการที่จำเป็นต่อการสร้างซิลิกอนให้กลายมาเป็นหัวใจหลักของวงจรรวมสมัยใหม่ได้" ศาสตราจารย์เจมส์ ทัวร์ ศาสตราจารย์ด้านเคมี,วิศวกรเครื่องกล,นักวิทยาศาสตร์วัสดุและคอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยไรซ์กล่าว

การโดปนี้จะนำสารเจือปนเติมเข้าไปยังผลึกซิลิกอนบริสุทธิ์เพื่อให้ซิลิกอนนั้นมีคุณสมบัตินำประจุไฟฟ้าได้ตามที่ต้องการ โดยจะใช้อะตอมของธาตุโบรอน, อาร์ซินิค หรือฟอสฟอรัส เติมลงไปในสัดส่วน 1 : 100 ล้านส่วนของซิลิกอน

แต่เมื่อผู้ผลิตใส่ทรานซิสเตอร์เข้าไปในวงจรรวมมากขึ้นเพื่อให้วงจรมีขนาดเล็กลง  การโดปนี้ก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้

"ถ้าทำให้ซิลิกอนเล็กลงจริงๆจนถึงระดับนาโนแล้ว จะได้โครงสร้างที่มีปริมาตรเล็กมากแต่มีประสิทธิภาพมาก จะทำอย่างนั้นได้จะต้องใส่อะตอมของสารเจือปนเข้าไปในซิลิกอนเพื่อให้มันทำงานเป็นสารกึ่งตัวนำ แต่ตอนนี้ ยิ่งพยายามทำให้เล็กเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้สารที่ได้ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งอาจจะมีอะตอมของสารเจือปืนมากกว่าอีกชิ้นหนึ่งก็ได้ และความไม่สม่ำเสมอนี้แหละที่จะเป็นปัญหา"

บริษัทผู้ผลิตพยายามจะใส่อุปกรณ์(ทรานซิสเตอร์)ลงไปในชิปตัวเดียวราวๆ 1,000 ล้านตัว โดยจะใหทุกตัวทำงานได้แบบเดียวกัน แต่เมื่อต้องการทำวงจรขนาดเล็กที่มีความกว้าง 45 นาโนเมตรนั้นกลับมีปัญหาอย่างมาก เปรียบเทียบง่ายๆคือเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100,000 นาโนเมตรมากมายนัก

แต่จากงานวิจัยชิ้นนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบทางออกแล้ว คือแทนที่จะนำสารเจือปนนั้นไปผสม ก็จะใช้วิธีเคลือบที่ผิวของซิลิกอนแทน แต่ยังทำให้ซิลิกอนทำงานได้แบบเดียวกับการโดปลงไป และยังทำงานในระดับนาโนเมตรได้มีประสิทธิภาพดีกว่าอีกด้วย

"เราเรียกว่าซิลิกอนที่ผ่านการ Afterburner แล้ว เราจะใส่ชั้นพิเศษที่เป็นชั้นของโมเลกุลเข้าไปอีกชั้นหนึ่งบริเวณพื้นผิว วิธีการนี้ไม่ใช่การโดปแบบที่ใช้กับการเติมสารเจือปน แต่ก็สามารถทำงานแบบเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ" ศ.ทัวร์ กล่าว

ศ.ทัวร์ยังได้บอกอีกด้วยว่า ก่อนหน้านี้หลายปีที่นักวิทยาศาสตร์พยายามหาบางสิ่งมาแทนที่ซิลิกอนเพื่อการพัฒนาคอมพิวเตอร์ระดับโมเลกุลให้ได้ ซึ่ง ศ.ทัวร์มองว่าไม่คุ้มเอาซะเลย

"บางทีมันก็ยากนะที่จะแข่งกับอะไรที่มีค่าเป็นล้านล้านดอลล่าร์ และมีคนเป็นล้านลงทุนกับมัน ฉะนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะพัฒนาให้มันสมบูรณ์แบบ แทนที่จะไปแทนที่มัน"

ศ.ทัวร์คาดหวังว่าวงการอุตสาหกรรมจะหันมาสนใจกระบวนการของเขานี้ ซึ่งต่อไปอาจจะนำโมเลกุลของคาร์บอนมาสร้างพันธะกับซิลิกอนด้วยก็ได้

"เรื่องนี้น่าจะมีประโยชน์ต่อวงการอุตสาหกรรมซิลิกอนนะ เราอยากจะเข้าไปในโรงงานแล้วพูดว่า 'ให้เราช่วยทำให้งานของคุณอยู่กับคุณไปนานๆเถอะ ให้เราช่วยทำสิ่งที่คุณมีอยู่ให้สมบูรณ์เถอะ' "

"ผมว่าอินเทล, ไมครอน และก็ซัมซุงน่าจะกำลังสนใจอยู่นะ ผมรับประกันได้เลยว่าพวกเขาจะต้องลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูแน่นอน"




          พัฒนาการคอมพิวเตอร์ อดีต ปัจจุบัน อนาคต


         หากอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำเป็นไปตามกฎของมัวร์ พีซีในปี ค.ศ. 2050 จะมีขีดความสามารถเชิงการคำนวณได้สูงถึง 10 ยกกำลัง 18 MIPS หรือประมาณพันของพันล้านคำสั่งต่อวินาที และมีหน่วยความจำภายในเครื่องมหาศาล นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเมเนโซต้า ได้ประกาศว่า เขาสามารถ ทำการเก็บอิเล็กตรอนหนึ่งตัวไว้ในสารกึ่งตัวนำขนาด 7 ตารางนาโนเมตร ซึ่งจะทำให้หน่วยความจำมีความหนาแน่นได้ถึง 10 ยกกำลัง 15 ไบต์ บนพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตรได้ ถ้าเหตุการณ์นี้ทำได้ในอีกสองสามปีข้างหน้า นั่นหมายถึงเราได้เร่งระยะเวลาไปข้างหน้าได้ถึง 30 ปี

ยุคสมัยของการใช้คอมพิวเตอร์บนพื้นฐานของการพัฒนาสารกึ่งตัวนำก็เริ่มก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด หากย้อนไปในปี ค.ศ. 1951 ซึ่งถือได้ว่า เป็นยุคเริ่มต้น เครื่องคอมพิวเตอร์สมัยนั้นคงเทียบได้ยากกับเครื่องในปัจจุบันโดยเฉพาะการพัฒนายังเน้นให้ใช้ง่าย มียูสเซอร์อินเทอร์เฟสที่ดี มีการ เชื่อมโยงการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย



                  กฎของมัวร์จะเป็นไปได้หรือ?

 
               จากความก้าวหน้าของการพัฒนาสารกึ่งตัวนำที่รวดเร็ว พัฒนาทางด้านคอมพิวเตอร์จะไม่ถึงขีดจำกัดบ้างหรือ คำถามนี้เป็นคำถาม ที่หลายคนตั้ง

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่กับที่ กฎของมัวร์ก็เช่นกัน คงไม่ใช่เป็นกฎแบบอยู่กับที่ กฎของมัวร์ก็เช่นกัน คงไม่ใช่เป็นกฎแบบอยู่กับที่ แต่จะเปลี่ยนแปลงกับสภาพกาลเวลาด้วย
แต่ด้วยความสามารถของมนุษย์ในการคิดค้นต่าง ๆ จึงเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายยังมีหนทางที่พัฒนาไปได้อีกมาก
มนุษย์กับไซเบอร์สเปซ และคนกับหุ่นยนต์ ที่อยู่ร่วมกันจะได้เห็นอย่างแน่นอน
เอกสารอ้างอิง
Rebert R Schller "Moore's Law : Past, Present, and Futrue. IEEE Spectrum, June 1997, Vol 34 No 6 pp.53-59